London Eye













ชิงช้า สวรรค์ลอนดอนอาย ( London Eye )


ลอนดอนอาย (London Eye) ที่รู้จักในชื่อ มิลเลเนียมวีล (Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร(443 ฟุต) และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและเป็นจุดดึงดูดนักท่อง เที่ยวได้อย่างมากในสหราชอาณาจักร มีผู้มาเยือนมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ส่วนบัตรข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 15 ปอนด์ต่อคน ซึ่งในอดีตเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ก่อสร้างที่ สูงที่สุดในโลก ก่อนจะถูกชิงตำแหน่งไป จากชิงช้าสวรรค์ เดอะ สตาร์ อฟ นานชาง ในประเทศจีน (160 เมตร) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 ต่อมาภายหลังตำแหน่งตกเป็นของ สิงคโปร์ฟลายเออร์ ในประเทศสิงคโปร์ (165 เมตร)วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008

อย่างไรก็ตาม ลอนดอน อาย ก็ยังคงได้รับตำแหน่งจากการให้บริการว่า"ชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครง เหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก" (เพราะการโครงสร้างทั้งหมดใช้โครงค้ำเหล็กรูปตัว A ในการให้บริการโดยใช้โครงค้ำเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้นไม่เหมือนชิงช้า สวรรค์อื่นๆ ทั่วไปที่มีโครงค้ำสองข้าง)
ลอนดอน อาย ตั้งอยู่ ณ ที่ฝั่งสุดด้านตะวันตกของสวนจูบิลี่ บนริมฝั่งทางใต้ของแม่น้ำเทมส์ ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างสะพานเวสต์มินสเตอร์กับสะพานฮันเกอร์ฟอร์ด

โดยสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของโดมแห่งการค้นพบ ที่เคยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในงานนิทรรศการเฟสติวัล ออฟ บริเตนในปี ค.ศ. 1951 ออกแบบและสร้างสรรค์โดย David Marks and Julia Barfield ด้วยการสนับสนุนโดยสายการบิน British Airways กระทั่งถึงเดือนมีนาคมปี 2000 london eye ที่ใครต่อใครในปีนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ตั้งโชว์ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ (ส่วนหนึ่งด้วยการบังทัศนวิสัยหรือรกทัศนียภาพ) นั้น ค่อยๆฝ่าทัศนคติรุนแรงและกลายเป็นของเล่นทันสมัยที่ใครต่อใครต้องไปถ่ายรูป เมื่อไปเยือนลอนดอน
ด้วยความสูงต่อรอบที่มากถึง 135 เมตร และการหมุนเคลื่อนอย่างเชื่องช้าในแต่ละรอบนั้น เท่ากับว่า london eye ไม่ได้ทำหน้าที่ในเชิงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่มีความหมายในเชิงวัฒนธรรมเมือง ด้วยการเป็นพาหนะในการเชื้อเชิญชวนเชิญให้นักท่องเที่ยวได้ละเลียดมุมมองงด งามจากด้านต่างๆของมหานครลอนดอน

london eye นั้น จะมีระยะเวลาในการหมุนต่อรอบ ด้วยเงื่อนไข 30 นาที ด้วยระยะความเร็วที่0.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นทำให้เมื่อคำนวณกับมุมต่างๆ ของวิวที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไปนั้น นักท่องเที่ยวมีเวลาเหลือเฟือที่จะเก็บภาพต่างๆ ได้อย่างเพียงพอบางคนนั้นรู้สึกว่า เมื่อชิงช้าสวรรค์ชื่อนี้ของอังกฤษ ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปถึงเพดานสูงสุดนั้นผู้โดยสารจะรู้สึกได้ถึงความสูงอย่าง ชัดเจน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หอไอเฟล














หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, อังกฤษ: Eiffel Tower)

หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887-9 ออกแบบโดยวิศวกรที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบว่า ทำลายความงดงามของกรุงปารีสด้วยโครงเหล็กน่าเกลียด อยู่ ๆ มีโครงเหล็กสูงโด่งขวางตาพวกเขา เพราะมันทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 3,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ เสียเวลาสร้าง 1 ปี มีลิฟต์พาชมวิวได้สูงถึงยอดหอซึ่งมีร้านอาหารที่สามารถนั่งชมวิวได้ทั่วทั้ง กรุงปารีส และชมความงามของแม่น้ำเซนด้วย สุดท้ายหอไอเฟลกลับเป็นสถานที่ยอดนิยม ใครต่อใครที่มาปารีสต้องถ่ายรูปด้วยตามธรรมเนียม หอนี้เคยเป็นอาคารสูงที่สุดในโลกสมัยแรก จนกระทั่งตึกเอ็มไพร์เสตท สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1931 ในวันที่อากาศดีอาจขึ้นไปชมวิวได้ถึงชั้นสูงสุดที่ 899 ฟุต ยามค่ำคืน หอไอเฟลจะเปิดไฟสวยงามมาก และมุมที่ดีที่สุดที่จะถ่ายภาพหอไอเฟล คือ บริเวณ Trocadero มีทั้งร้านขายของที่ระลึก และภัตตาคาร เปิดทุกวันเวลา 9.30-23.00 น. ค่าขึ้นลิฟต์ชม ชั้นแรก 20 ฟรังค์ ชั้นแรกและชั้นสอง 42 ฟรังค์ ชั้นแรก/ชั้นสอง/ชั้นสาม 59 ฟรังค์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กรุงมอสโก














กรุงมอสโก (Moscow)

เมืองหลวงของรัสเซีย เมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งในประวัติศาสตร์และแหล่ง Shopping สำหรับ กรุง มอสโค จัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ถึง 850 ปี ตั้งแต่สมัยรัสเซียเก่า ซึ่งนำโดยเจ้าชายแห่งเมืองซูซดัล ยูริ (Yuri Dolgorukiy) ค.ศ. 1147 อาณาจักมัสโกวีแผ่ขยายกว้างขวางในศรรตวรรษที่ 15-16 โดยการปกครองของพระเจ้าอีวานที่ 3 และพระเจ้าอีวานที่ 4 และจนสุดท้ายกลายมาเป็นประเทศรัสเซียในปัจจุบัน

ต้นศรรตวรรษที่ 18 พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในสมัยนั้นหลายๆ คนยังเข้าใจว่ามอสโกเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ต่อจากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ในปี ค.ศ. 1918 กรุงมอสโก ได้กลายมาเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต และในปี ค.ศ. 1993 กรุงมอสโกได้เป็นเมืองหลวงของรัสเซียอีกครั้ง เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย

กรุงมอสโก จัดว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากเมืองหนึ่ง ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมทั้งเก่าและใหม่ประชากรรัสเซียในปัจจุบันสามารถพูดและ เขียนภาษาอังกฤษได้มากขึ้น มีโบสถ์ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากกว่า 200 แห่ง

สถานที่ท่องเที่ยวในกรุง มอสโค สุด Hit มีที่ไหนบ้าง

หากใครได้ไปเยือนกรุงมอสโก รัสเซียแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดได้แก่

  1. พระราชวังเครมลิน (Kremlin)
    พิพิธภัณฑ์ อาร์มรี่ แซมเบอร์ (Kremlin Armoury Chamber )
    พิพิธภัณฑ์พระคลังเพชร (State Diamond Fund )
  2. จตุรัสแดง (Red Square)
  3. วิหารเซ็นบาซิล (St. Basil’s Cathedral – ซาร์โบ วาซิเลีย บาเซนนาวา)
  4. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย (the State Historical Museum – โกซูดาร์สตเวนนึย อิสโตรีเชสกี มูเซย์)
  5. สุสาน เลนิน (Lenin Mausoleum — มัฟโซเลย์ เลนีน่า)
  6. ถนนอาร์บัด เก่า/ใหม่ (Arbat – อาร์ บัด)
  7. วิหารเซ็นต์ เดอ ซาร์เวีย (Cathedral of Christ the Saviour – ฮรัม ฮริสตา สปาซีเตลยา)
  8. อารามโนโวดิวิชี (Novodevichy Convent – โนโวเดวิชี โมนัสตรึยร์)
  9. มหาวิทยาลัยมอสโก (Moscow State University )
  10. พิพิธภัณฑ์ศิลปะเตร็ตยาคอฟ (State Tretyakov Art Gallery )
  11. บ้านศูนย์กลางศิลปินและพิพิธภัณฑ์เตร็ตยาคอฟใหม่ (Central House of Artists and the new Tretyakov Gallery)
  12. พิพิธภัณฑ์ศิลปะปุ้ชกิน (Puskin Museum of Fine Art )
  13. พิพิธภัณฑ์ศิลปะ อันเดร รูเบลฟ (Andrei Rublev Museum)
  14. พิพิธภัณฑ์การต่อสู้แห่งโบโรดิโน (Borodino Battle Panorama-Museum)
  15. พิพิธภัณฑ์พุชกิ้น (Puskin State Museum – ปุชกิ้นน่า มูเซ่ร์)
  16. พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านโคโลเมนสโคว (Kolomenskoye Museum Estate)
  17. พิพิธภัณฑ์วังคุสโคโว (Kuskovo Museum Estate )
  18. อารามศักดิ์ศิทธิ์ดานิลอฟ (The Holy Danilov Monastery )
  19. รถไฟใต้ดินมอสโก (Moscow Metro – มอสคอฟสกี้ เมโตรโปริเตระ)
  20. โรงละครบอลซอย (Bolshoi Theatre – บอลซู เทียตะ)
  21. ละครสัตว์มอสโก (Moscow Circus )
  22. สวนสัตว์มอสโก (Moscow Zoo – มอสคอฟสกี้ ซู-ระ-ปาร์ค)
  23. ตลาดนัดอิสเมลอฟสกี้ (Izmailovsky Souvenir Market )

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เมืองเวนิส









เมืองเวนิส

เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)

เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาว

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทะเลสาบใหญ่อัลมาตี้









ทะเลสาบใหญ่อัลมาตี้ (Almaty Big Lake)

ทะเลสาบใหญ่อัลมาตี้ (Almaty Big Lake)ซึ่งสวยงามตระการตาเป็นสถานที่พักผ่อนในฤดูร้อนของชาวอัลมาตี้ ส่วนการเดินทางมาที่นี่ช่วงฤดูหนาวก็ให้ภาพและความ ประทับใจไปอีกแบบหนึ่ง ทะเลสาบแห่งนี้ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 2,510 เมตรถูกแวดล้อมด้วย ยอดเขาอันใหญ่โตถึงสามยอด ซึ่งประกอบด้วย ยอดเขาโซเวียต (Peak of Soviet , 4317m) ยอดเขา Ozerniy , 4110 m และยอดเขาทัวร์ริส (Tourist Peak , 3954 m) สีของน้ำนั้นสามารถเปลี่ยน แปลงได้ตามฤดูกาล ไล่ไปตั้งแต่ สีเขียวอ่อนไปจนถึงสีน้ำเงิน เทอร์คอยท์ และด้วยเหตุนี้นี่เองที่นี่จึงได้รับการชื่นชมว่าเป็นทะเลสาบที่สวยงามมาก แห่งหนึ่งของ อัลมาตี้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งกิฟฟา












ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งกิฟฟา


ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งกิฟฟา (อิตาลี: Sacro Monte di Ghiffa) เป็นกลุ่มชาเปลของโรมันคาทอลิกตั้งอยู่บนเนินเขาที่กิฟฟาเหนือทะเลสาบมายอเร ในแคว้นพีดมอนต์ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งกิฟฟาเป็นหนึ่งในเก้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งพีดมอนต์ และลอมบาร์ดีที่ได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปีค.ศ. 2003

หัวเรื่องศิลปะของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งกิฟฟาอุทิศให้แก่อานุภาพของตรีเอกา นุภาพที่ได้รับอิทธิพลจากโอราทอรีเล็กๆ บนภูเขาคาราจิโอที่สร้างก่อนหน้านั้น ทิวทัศน์จากกิฟฟาด้านพีดมอนต์ของทะเลสาบมายอเรแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมใน การวางองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมกับภูมิทัศน์ ชาเปลพระแม่มารีเป็นสิ่งก่อสร้างแรกที่ได้รับการสร้างในปี ค.ศ. 1647 ซุ้มทางเข้าสู่ทางสู่กางเขนที่ก่อสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมาเป็นหัวเรื่องเกี่ยวกับทุกขกิริยาของพระเยซู

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ป้อมฮวาซอง














ป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress)

ป้อมฮวาซอง เป็นป้อมที่ตั้งตะหง่าน มีอายุมากว่า 200 ปี ย้อนอดีตกลับไปป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชองโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน พระองค์ทรงต้องการสร้างป้อมแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการย้ายหลุมศพของพระบิดา Sado Seja จากภูขาBeabongson มาที่ Hwaseong ในซูวอน และต้องการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อเสริมความยิ่งใหญ่ของความเป็นกษัตริย์ ป้อมฮวาซองนี้เริ่มต้นสร้างในปีค.ศ.1794 และเสร็จในปีค.ศ.1796 ซึ่งในการในการสร้างป้อมแห่งนี้ได้ใช้วิทยาการการก่อสร้างระหว่าง วิธีของชาวตะวันตก และ วิธีของชาวตะวันออกผสมผสานเข้าด้วยกัน คือมีการใช้ทั้งหิน ปูนและก้อนอิฐ มาสร้างร่วมกันเป็นส่วนประกอบของป้อมและกำแพง และได้มีการใช้ปั้นจั่นเป็นครั้งแรกในการก่อสร้าง ซึ่งถือว่าทันสมัยสุดๆ ในยุคนั้น ทำให้โครงสร้างของป้อมมีความมั่นคงและแข็งแรงเป็นอย่างมาก ตัวป้อมฮวาซองนี้มีการสร้างในลักษณะ ทอดตัวยาวไปตามแนวไหล่เขาและที่ราบของภูเขา โอบล้อมเมืองซูวอนไว้เป็นรูปวงไข่ขนาดใหญ่ หรือบ้างก็ว่าดูเหมือนรูปดอกไม้ โดยมีความยาวถึง 5.5 กิโลเมตร ป้อมฮวาซองนี้จะมีป้อมต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวกำแพงอยู่กว่า 50 ป้อม แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 48 ป้อม เพราะบางส่วนถูกทำลายไปเมื่อสมัยญี่ปุ่นเข้ามาครอบครอง สมัยเกิดสงครามเกาหลี การที่จะเดินเที่ยวป้อมฮวาซองจนทั่วนั้นอาจจะต้องใช้เวลาเดินกินเวลาและแรง กายหลายชั่วโมงอยู่ ฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่จะชมแนวกำแพงขึ้น ไปยังป้อมใกล้ๆ ต้องใช้บริการรถไฟหัวมังกรสีแดงๆ ที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมความงามของป้อมฮวาซองโดยรอบๆ รถไฟพานักท่องเที่ยววิ่งไปตาม ทางแนวป้อมปราการต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ เพื่อที่จะได้ชื่นชมกับป้อมปราการแต่ละป้อมที่มีความยิ่งใหญ่ และดูงดงามแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หน้าป้อมฮวาซองนั้น มีสนามยิงธนูให้นักท่องเที่ยวได้ลองยิงธนูประลองความแม่นยำกันด้วย ซึ่งการยิงธนูนี้ถือว่าเป็นกีฬาโบราณที่ชาวเกาหลี ได้ทำการอนุรักษ์ไว้ ซึ่งการยิงธนูนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะคนยิงต้องมีพลังกำลังที่ดี และมีสมาธิที่ดี ที่จะปล่อยลูกธนูออกไปให้ถูกเป้าหมาย ทำให้ นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาส เล่นกีฬาชนิดนี้ ได้ฝึกสมาธิไปในตัวอีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พิพิธภัณฑ์วาซา









พิพิธภัณฑ์วาซา (vasa museum)


พิพิธภัณฑ์วาซา หรือ (vasa museum) เป็นที่เก็บเรือรบวาซาเรือที่เป็นตำนาน และสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เรือลำนี้มีความสง่างามมากบริเวณดาดฟ้า พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าชมเมื่อ ปี 1900

พิพิธภัณฑ์วาซาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง น่าสนใจ “VASA” เป็นชื่อของเรือรบหลวงสร้างขึ้นในปี 2169 (ค.ศ. 1626) เสร็จในปี 2171 (ค.ศ.1628) ในสมัยของ GUSTAVUS II ADOLPHUS กษัตริย์ของสวีเดนในช่วงสงครามบอลติกระหว่างเดนมาร์ก-รัสเซียและโปแลนด์ เรือรบหลวงวาซาถูกคาดหวังว่าจะเป็นเรือรบที่ยิ่งใหญ่สง่างาม ทรงอานุภาพและมูลค่าลงทุนแพงที่สุดในเวลานั้น ในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2171 เรือรบหลวงวาซาออกจากท่ากรุงสตอกโฮล์มแต่เพียงชั่วระยะ 1,000 เมตรเรือดังกล่าวก็ค่อยๆ เอียง และจมลงในที่สุด สาเหตุของการจมนั้นสันนิษฐานว่าเกิดจากความไม่สมดุลของใต้ท้องเรือซึ่งค่อน ข้างแคบกับเสากระโดงเรือซึ่งสูงมาก

ตำนานของเรือวาซาเงียบหายไปถึง 3 ศตวรรษเชื่อกันว่าเป็นเพราะ GUSTAVUS II ADOLPHUS ไม่พอใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมาก สั่งประหารลูกเรือที่รอดชีวิตและผู้เกี่ยวข้องเพื่อเก็บเรื่องนี้ไว้ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าลูกเรือบนเรือวาซามีเท่าไรแต่จากการประเมินคาดว่า เรือวาซาจุลูกเรือและทหารได้ 437 คนแต่ระหว่างจมมีลูกเรือประมาณ 150 คนเพราะทหารยังไม่ขึ้นเรือ การจมของเรือรบหลวงวาซาจึงเป็นโศกนาฏกรรมอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์

ในเดือนเมษายน 2504 (ค.ศ.1961) ANDRES FRANZEN เป็นผู้คนพบเรือดังกล่าว ณ บริเวณก้นอ่าวสตอกโฮล์ม ลึกลงไป 30 เมตร เรือรบหลวงวาซาขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง หลังจากที่จมอยู่ถึง 333 ปี หลังจากนั้นทางการสวีเดนได้บูรณะเรือรบหลวงวาซาและสร้างอาคารคร่อมเรือ ทั้งลำให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ โดยมีเสากระโดงเรือ 3 เสาโผล่พ้นหลังคาพิพิธภัณฑ์

ภายในอาคารจะพบเรือวาซาอยู่ตรงกลางห้องโถงรอบๆคือพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ ที่จะให้ผู้คนเดินได้รอบลำเรือโดยยังไม่อนุญาตให้ขึ้นชมภายในตัวเรือ สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ แนวความคิดในการนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในหลายแง่มุมมานำเสนอโดยมีเรือ ลำเดียวเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด เรื่องราวที่นำเสนอมีตั้งแต่บรรยากาศทางประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 17, สถานการณ์และเหตุการณ์บ้านเมืองของสวีเดนและแถบสแกนดินีเวีย, เรื่องราวของราชบัลลังก์และอำนาจทางการเมือง, ชีวิตของผู้คนยามปกติและชีวิตของลูกเรือในท้องทะเล, เครื่องแต่งกาย,ความเชื่อและวัตถุโบราณมากมาย ฯลฯ

การนำเสนอมีทั้งสร้างหุ่นจำลองแผนที่ บรรยากาศที่เหมือนจริง วัตถุโบราณห้องฉายภาพยนตร์และการนำเสนอผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคุณค่าทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และการผสมผสานเทคโนโลยี สมัยใหม่ได้อย่างลงตัวและเร้าใจยิ่ง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เจดีย์ห่านป่าใหญ่











เจดีย์ห่านป่าใหญ่ Big Wild Goose Pagoda


เจดีย์ห่านป่าใหญ่ Big Wild Goose Pagoda หรือ เจดีย์ต้าเอี้ยนถ่าตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองซีอาน โดยอยู่บนถนนเอี้ยนถ่าลู่ ซึ่งเป็นถนนที่ตัดตรงจากเขต กำแพงเมืองชั้นในลงมา จะมองเห็นองค์เจดีย์เด่นเป็นสง่า องค์เจดีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 652 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจง (TANG KAO ZHONG) โดยก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 648 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังไท้จง (TANG TAI ZHONG) พระราชโอรส เจ้าชายหลี่จื้อ (จักรพรรดิถังเกาจงในเวลาต่อมา ทรงครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาในปี ค.ศ. 650) ได้สร้างวัดต้าสือเอินซื่อ (TA SI EN SI) (วัดกตัญญุตาราม) นี้ขึ้นก่อน เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระราชมารดา คือ เหวินเต๋อหวงโฮ่ว จากนั้นเมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วจึงได้สร้างเจดีย์นี้ขึ้นตามคำขอของพระถัง ซำจั๋ง ในบริเวณวัดดังกล่าว

องค์เจดีย์มีรูปแบบเรียบง่าย ในศิลปะจีนผสมอินเดีย เดิมนั้นสร้างเพียง 5 ชิ้น แต่เมืองซีอานได้ประสบภัยแผ่นดินไหวมาหลายครั้ง จึงได้มีการบูรณะเรื่อยมาและมีการบูรณะ ใหญ่ในสมัยราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง ปัจจุบันองค์เจดีย์มี 7 ชั้น สูง 64.1 เมตร ฐานขององค์เจดีย์วัดจากตะวันออกไปตะวันตกยาว 45.9 เมตร จากเหนือไปใต้ยาว 48.8 เมตร

ตามประวัติ เจดีย์ห่านป่าใหญ่ ศาสนสถานโบราณที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในแผ่นดินจีน หลังจากที่พระถังซำจั๋งเดินทางไปยังชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา ท่านก็ได้พำนักที่วัดต้าเฉียน และเป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้ จากนั้นได้มีการสร้างเจดีย์ 5 ชั้นภายในอาณาเขตวัด ภายหลังได้ถูกทำลายลงในสมัยพระนางอู่เจ๋อเทียน พระนางจึงมีพระบัญชาให้สร้างขึ้นใหม่เป็น 10 ชั้น ก่อนจะพังทลายจากแผ่นดินไหวเหลือเพียง 7 ชั้นดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากเจดีย์ห่านป่าใหญ่ ซึ่งสามารถชมวิวข้างบนได้แล้ว ยังมีอนุสาวรีย์พระถังซำจั๋ง หอระฆังทางทิศตะวันออก หอกลองทางทิศตะวันตก พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์ หอพระถังซำจั๋งที่มีรูปปั้นสัมฤทธิ์ของท่านในท่านั่งสมาธิ การได้มานมัสการที่วิหารพันปีแห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นสิริมงคลต่อชีวิตอย่าง ยิ่ง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้











สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ คือมหาสุสานของจักรพรรดิจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) แห่งราชวงศ์ฉิน อยู่ที่เชิงเขาหลีซัน ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ประเทศจีน ปัจจุบันสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1987 และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมืองซีอาน

ตามประวัติ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เริ่มก่อสร้างในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 38 ปี ตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอาณาเขตพื้นที่ของสุสานรวมทั้งสิ้น 2,180 ตร.กม. แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นในและพระราชฐานชั้นนอก ภายในสุสานใช้บรรจุพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนมและนางกำนัล รถม้าและขุนพลทหาร ที่สร้างมาจากดินเผา จำนวนมาก เพื่อเป็นตัวแทนของข้าราชบริพารในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกของจิ๋นซีฮ่องเต้

โครงสร้างและสถาปัตยกรรมโดยรวมของสุสาน มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความลึกเฉลี่ย 35 เมตร กว้าง 145 เมตร และ ยาว 170 เมตร สำหรับห้องบรรจุพระบรมศพอยู่จุดกึ่งกลางของสุสาน มีความสูง 15 เมตร มีขนาดพื้นที่และความใหญ่โตมโหฬาร สำหรับภายใน ในส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกอย่างดีโดยคงสภาพเดิมเอา ไว้ และไม่เคยผ่านการขุดและรื้อทำลายมาก่อน โดยโครงสร้างของสุสานดังกล่าว มีรูปแบบโครงสร้างและการจัดสร้างที่มีความสลับซับซ้อน ขนาดของสุสานมีขนาดมหึมา ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอาน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม. โดยในระหว่างที่ขุดนั้น ก็บังเอิญพบกับซากของทหารดินเผา ที่ทราบภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตร.ม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180 ตร.กม. สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS